นิตยสาร Secret ปีที่ 1 ฉบับที่ 22
โดยคุณเศรษฐศิริ หัวข้อเรื่อง "ผู้เมาบุญ"
บางส่วน เขียนไว้ดังนี้
การทำบุญในพระพุทธศาสนาต่างกับการทำบุญทั่วไปที่มักเหมารวมกับการทำทาน
เชื่อกันว่าเมื่อทำบุญแล้วจะยิ่งมีความรวย ความมั่งคั่งในชาติหน้า
มีการขอพรพระ ขอเทวดาศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วย แสวงหาวัตถุมงคลมาครอบครอง
ทำโดยความเมาบุญ หลงลืมไปว่านั่นเป็นการกระทำด้วย...
ความโลภ อยากได้ อยากมี อยากเป็น
เมื่อเห็นผู้อื่นทำบุญได้มากกว่าก็อิจฉาในบุญของผู้อื่น ตระหนี่ในบุญของตนเอง
ยิ่งพอกพูนกิเลส ยิ่งยึดมั่น ถือมั่น ถือผิด ๆ ว่าสวรรค์คือสิ่งวิเศษ
ทั้ง ๆ ที่เป็นภพแห่งการมัวเมาลุ่มหลงในกามสุขอย่างยากที่จะถอดถอน
แทนที่จะทำบุญเพื่อคลายความตระหนี่ ความยึดมั่นถือมั่น
สละซึ่งความอยากได้ อยากมี อยากเป็น
กลับทำด้วยกิเลส เป็นการลงทุน สุดท้ายต้องเป็นทุกข์เพราะความอยาก
และไม่สมหวังในความอยากนั้น จึงได้ชื่อว่าเป็น "ผู้เมาบุญ"
พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนเพื่อให้สัตว์โลกถอดถอนความยึดมั่น ถือมั่น
คลายความหลงผิด พระองค์ทรงสอนเรื่องทุกข์
เพื่อจะได้พ้นจากความทุกข์อย่างแท้จริง เพื่อความสิ้นภพสิ้นชาติ
ปัจจุบันเรารู้จักแต่อยากทำทาน กลายเป็นศาสนาพุทธคือเข้าวัดทำทาน..จะได้รวย
ซึ่งห่างไกลกับคำสอนเหลือเกิน
เมื่อทำบุญให้ถูก และหมั่นรักษาศีลจึงจะเกิดกุศลจิต คือใจที่คลายความตระหนี่
คลายจากความโลภ ละจากความยึดมั่นถือมั่น ว่านั่นคือของเรา นี่คือของเรา
จิตที่เป็นกุศลนี้จึงจะเป็นจิตที่เหมาะสมกับการทำสมาธิ
รู้ตามความเป็นจริง ไม่เป็นมิจฉาสมาธิ
การทำบุญที่ถูกตรงจึงหมายถึง "ละ" เพื่อจิตที่เป็นกุศล
หากประพฤติแล้วกิเลสเพิ่มมากขึ้น ยึดติดมากขึ้นนั่นย่อมไม่ใช่ธรรมะ
การนับถือสิ่งภายนอก เช่น พระ อิฐ ปูน โบสถ์ วิหาร
พระพรหม เทวดา ผีสาง เครื่องรางของขลัง วัตถุ ฯลฯ เป็นที่พึ่ง
จึงไม่ใช่ชาวพุทธที่แท้จริง
ที่มา: http://vanecia.diaryclub.com/20090608/0/0/4-ผู้เมาบุญ.html
No comments:
Post a Comment