Thursday, August 26, 2010

บารมี ๑๐

ทานบารมี
อันว่า ภาชนะที่เต็มด้วยน้ำ เมื่อคว่ำลง น้ำย่อมไหลออกหมด ไม่ขังติดอยู่ในภาชนะนั้น ฉันใด
เธอเห็นผู้ยากไร้ทั้งหลายแล้ว จงให้ทานอย่าให้เหลือ ดุจภาชนะที่วางคว่ำไว้ ฉันนั้น

ศีลบารมี
อันว่า จามรีรักษาขนหางแม้นติดอยู่ในที่ใด ก็ยอมตายอยู่ที่นั้น ไม่ยอมให้ขนหางเสียไป ฉันใด
เธอจงบำเพ็จศีล รักษาศีลให้บริบูรณ์ในกาลทุกเมื่อ ดุจจามรีรักษาขนหางของตน ฉันนั้น

เนกขัมบารมี
อันว่า คนที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำ ได้รับแต่ความทุกข์ทรมาน ปราศจากอิสรภาพ ย่อมไม่ปรารถนาที่จะอยู่
ไขว่คว้าแต่ จะหาช่องทางให้พ้นออกไปจากเรือนจำนั้น ฉันใด
เธอจงเห็นภพทั้งปวง เสมือนเรือนจำ จงมุ่งหน้าต่อเนกขัมมะ เพื่อแสวงหาทางหลุดพ้นไปจากภพ ฉันนั้น

ปัญญาบารมี
อันว่า ภิกษุเมื่อเที่ยวบิณฑบาทมิได้เลือก ว่าทายก ทายิกาจะอยู่ในตระกูลชั้นต่ำ ชั้นกลาง หรือชั้นสูง
ย่อมบิณฑบาทพอยังอัตภาพ ให้เป็นไปได้ ฉันใด
เธอจงเข้าไปหาบัณฑิต สอบถามเรียนรู้กับบัณฑิต ผู้มีปัญญาทุกท่านโดยไม่เลือก ตลอดกาลทั้งปวง ฉันนั้น

วิริยะบารมี
อันว่า ราชสีห์มีความเพียรไม่ย่อหย่อนในอิริยาบท นั่ง นอน ยืน เดิน ประคองใจไว้ทุกเมื่อ ฉันใด
เธอจงประคองความเพียรไว้ให้มั่นคงในภพทั้งปวง ฉันนั้น

ขันติบารมี
อันว่า แผ่นดินย่อมอดทนต่อสิ่งของที่ทิ้งลงมา ซึ่งมีทั้งที่สะอาดบ้าง และไม่สะอาดบ้าง ไม่รู้สึกยินดียินร้าย ฉันใด
เธอจงอดทนต่อการยกย่อง และการเหยียดหยามของชนทั้งปวง ฉันนั้น

สัจบารมี
อันว่า ดาวประกายพรึก เป็นดาวนพเคราะห์ ที่เที่ยงตรง ไม่โคจรออกนอกวิถี ไม่ว่าฤดูร้อน ฤดูหนาว ฉันใด
เธอจงอย่างเดินออกนอกวิถีทางในสัจจะทั้งหลาย ฉันนั้น

อธิษฐานบารมี
อันว่า ภูผาตั้งมั่นดีแล้ว ย่อมไม่ไหวด้วยลมแรงกล้า แม้นปานใด ย่อมยังตั้งอยู่ในฐานของตน ไม่ขยับจากที่ ฉันใด
เธอจะเป็นผู้ไม่หวั่นไหวในอธิษฐานบารมีทุกเมื่อไป ฉันนั้น

เมตตาบารมี
อันว่า ฝนเมื่อตกแล้ว ย่อมไหลและแผ่ความเย็น ไปเสมอกัน ไม่เลือกที่ฉันใด
เธอจงเจริญเมตตา ให้เสมอกันทั้งในคนดี และคนชั่ว ทั้งในศัตรูและมิตร
จงแผ่เมตตาไปให้สม่ำเสมอ ในคนที่เป็นประโยชน์เกื้อกูล และคนที่ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ฉันนั้น

อุเบกขาบารมี
อันว่า ธรรมดา แผ่นดินย่อมวางเฉยต่อสิ่งที่ลงมา ทั้งที่สะอาด และไม่สะอาด เว้นจากความยินดียินร้าย ฉันใด
เธอจงเป็นผู้มั่นคงดุจตราชูในสุขและทุกข์ ทุกเมื่อ ฉันนั้น

ที่มา พระอาจารย์เอกชัย สิริญาโณ

No comments:

Post a Comment