Thursday, October 7, 2010

โกรธ (draft)

เหตุสมควรโกรธ...ไม่มีในโลก
โดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

วัดป่าสุนันทวนาราม
บ้านท่าเตียน ต.ไทรโยค อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี

Let not the sun go down upon your wrath.

มนุษย์ผู้มีสติและปัญญาย่อมรู้ว่า
การเต้นไปตามความโกรธ ไม่ใช่หนทางที่จะนำพาไปสู่สิ่งใดเลย
นอกจากความสูญเสีย

พิจารณาโทษของการเป็นผู้โกรธ
พิจารณาโทษของความโกรธ
พิจารณาความดีของคนที่เราโกรธ
พิจารณาว่าความโกรธคือการลงโทษตัวเอง ให้สมใจศัตรู
บอกตัวเองว่า "เราไม่โกรธก็ได้นี่น่า"

ที่มา นิตยสาร The secret

ตอนที่ ๑
ชีวิตคือทุกข์.....ไม่มากก็น้อย

ชีวิตคนเราดูแล้วหลากหลายแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ชีวิตของ..... เด็กเล็กๆ อายุ 3 – 4 ขวบ
ชีวิตของ..... คนเฒ่าคนแก่ อายุ 100 ปี
ชีวิตของ..... คนยากจน ขอทานข้างถนน
ชีวิตของ..... มหาเศรษฐี

ชีวิตของ..... คนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
ชีวิตของ..... คนจบปริญญาเอก
ชีวิตชอง..... นักโทษประหาร
ชีวิตของ..... ผู้ได้รับเกียรติเป็นบุคคลตัวอย่าง
ชีวิตของ..... นักเลงการพนัน
ชีวิตของ..... ผู้ดีในสังคม

แต่ดูลึกๆ แล้ว ชีวิตของเราก็พอๆ กัน
ในความรู้สึก สุข ทุกข์ ดีใจ พอใจ สุขใจ
โกรธ น้อยใจ เสียใจ กลัว ฯลฯ

ชีวิตคือทุกข์ ไม่มากก็น้อย

ทุกข์ร้อน ทุกข์หนาว ทุกข์แบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวก็มี
แต่คนเราเกลียดทุกข์ กลัวทุกข์ พยายามหนีจากทุกข์
แสวงหาความสุขกันทั้งนั้น ตามสติปัญญาและ
ความสามารถของแต่ละบุคคล หัวใจของมนุษย์ต่าง
ก็เรียกร้อง “ความสุขๆ ๆ” กันทุกคน แต่ที่เราหนี
ไม่พ้นจากทุกข์ เพราะพวกเราอยู่ในท่ามกลางไฟกันทั้งนั้น

..... ดอกไม้ ..... ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

ไฟ..... คือ..... โทสะ
ไฟ..... คือ..... โลภะ
ไฟ..... คือ..... โมหะ

เมื่อเราสามารถดับไฟได้ เมื่อนั้นก็เย็นสงบสุข
ไฟโทสะ ร้ายกาจ เป็นข้าศึกต่อความสุข
ถอนโทสะเพียงสิ่งเดียวออกจากจิตใจ
ก็จะไม่ต้องต่อสู้กับคนรอบตัว
โลกทั้งหมดจะสงบเย็น
มีแต่คนน่ารัก มีแต่คนน่าสงสาร
ควรแก่การเมตตา กรุณา


ไฟเสมอด้วยความโกรธไม่มี

พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบ ความโกรธ ว่าเหมือนไฟ
เช่น ไฟไหม้ป่า เผาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า
ความโกรธ มีพลัง มีอำนาจทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง
ยิ่งกว่าไฟไหม้ป่าเสียอีก มีแต่โทษ ไม่มีคุณแม้แต่นิดเดียว

แผดเผาผู้ที่โกรธ
เมื่อพูด ก็เปรียบได้กับเริ่มขว้างไฟนั้น ไปยังผู้อื่น

จะเห็นได้ว่าคนโบราณมีการอบรมสั่งสอนลูกหลานให้กลัว
และระมัดระวังไฟ เพราะอันตรายมาก โดยเฉพาะ ไฟไหม้บ้าน
ไฟไหม้ป่า ล้วนแต่เผาทำลาย พรึบเดียว ชั่วข้ามคืน
ทำลายทั้งทรัพย์สมบัติจนหมดตัว และยังอาจ
ทำลายชีวิตผู้คน บางครั้งเป็นพันๆ หมื่นๆ คนทีเดียว

แต่ความโกรธ อันตรายยิ่งกว่าไฟ
ไฟเสมอด้วยโกรธไม่มี

เพราะความโกรธจะทำลายแม้แต่น้ำใจของเรา
คนที่เรารักสุดหัวใจก็ดี คนที่รักเราก็ดี
ชื่อเสียง คุณงามความดีที่สะสมไว้ตั้งแต่อเนกชาติ
ถูกทำลายย่อยยับได้ด้วยความโกรธ
ความโกรธ โมโห ครั้งเดียว สามารถทำลายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
น่ากลัวยิ่งกว่าไฟไหม้ !!!!!

ความโกรธนี้ฆ่าผู้มีพระคุณมาหลายต่อหลายคนแล้ว
ฆ่าคนที่เรารัก คนที่รักเรา คู่รักที่ต่างรักใคร่
ชอบพอกัน บางครั้งในที่สุด ความโกรธก็ทำให้
เลิกร้างกัน ทำให้ชีวิตครอบครัวต้องแตกแยก
จนถึงทำให้ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าลูกก็มี
ผู้ใหญ่ในระดับประเทศโกรธกัน จนเป็นเหตุให้กลายเป็นสงคราม
ฆ่ากันตาย เป็นพันๆ หมื่นๆ แสนๆ ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

..... ดอกไม้ ..... พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สัตว์ทั้งหลายที่เราเห็นกันด้วยตา
นับแต่มด ยุง กบ เขียด แมว สุนัข
วัว ควาย มนุษย์ อย่างน้อยชาติหนึ่งเคยเป็น
พ่อแม่พี่น้องกันในวัฏสงสารที่ยืดยาว
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเคยรักกันเกลียดกันมาอย่างนี้
จนทุกวันนี้ และต่อไปอีกหลายภพหลายชาติ
ตราบเท่าที่ยังไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน

เมื่อเป็นเช่นนี้ เราไม่ควรประมาท ทำใจให้สงบน้อมเข้ามาสู่ตน
พิจารณาดูว่า มีใครบ้างที่เราอาฆาตพยาบาท ถ้ามีรีบให้อภัย
อโหสิกรรมเสียแต่บัดนี้ อย่างน้อย ก็ชาตินี้ ก่อนตาย
จะได้ไม่ต้องเป็นคู่เวรคู่กรรมกันอีกต่อไป

อย่าคิดว่า เราต่างคนต่างอยู่ไม่เป็นไร
แม้จะอยู่คนละจังหวัด คนละประเทศก็ตาม
ก็จะมีโอกาสพบกันในชาติหน้า
และมีโอกาสมากด้วย ถ้าหากมีอุปาทานยึดมั่นถือมั่น ดูใจของตน
ก็เห็นชัด คิดถึงใครก็ดี คิดแค้นใจอาฆาตพยาบาทใครก็ตาม

นั่นแหละ ! ระวังให้ดี
ต่อไปจะเกิดมาพบกัน
และทำความเดือดร้อนให้แก่กัน
นับภพนับชาติไม่ถ้วน

ฉะนั้น ไม่ให้คิดมีเวรแก่กัน จงให้อภัย และอโหสิกรรมแก่กัน
ไม่ให้คิดอาฆาตพยาบาท ไม่ให้คิดเบียดเบียนกัน
มีแต่ปรารถนาดีต่อกัน พยายามทำแต่กรรมดี ให้ทาน
เอื้อเฟื้อกัน มีปิยวาจา พูดดี พูดไพเราะ
ทำประโยชน์ ช่วยเหลือสังคม วางตนเหมาะสม
เสมอต้นเสมอปลาย การประพฤติปฏิบัติต่อกันอย่างนี้
จะทำให้เราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในปัจจุบัน
และเป็นการสร้างกรรมที่ดีต่อกัน

อนาคตถ้าเกิดมาพบกันอีก
ก็จะเป็น พ่อแม่พี่น้อง เพื่อนฝูงที่ดีต่อกัน
เกื้อกูลสนับสนุนซึ่งกันและกัน

ไฟไหม้บ้าน – ดับไฟก่อน

เมื่อเรากระทบอารมณ์ที่ไม่พอใจ จะโกรธ อยากโกรธ
หยุดทำ หยุดพูด หยุดคิด หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ
จนกว่าใจจะสงบสบาย เมื่อเราไม่พอใจ ไม่ต้องคิด
อย่าคิดไปตามอารมณ์ คิดว่า ทำไมเขาทำอย่างนี้
เขาไม่น่าทำเช่นนี้

..... ดอกไม้ ..... พิจารณาดู..... สมมติเมื่อเรากำลังกลับเข้าบ้าน
มองเห็นควัน มีไฟลุกขึ้น ไฟกำลังไหม้บ้านของเรา
ถึงแม้เรามองเห็นว่า มีใครวิ่งหนีไปก็ตาม
เราไม่ต้องคิดสงสัยว่า เขาเป็นผู้ร้ายหรือเปล่า
สิ่งที่ต้องทำก่อนทุกอย่างคือ วิ่งเข้าไปหาทางดับไฟ
ให้เร็วที่สุด หาน้ำ หาเครื่องดับไฟ ผ้าห่ม ฯลฯ
ทำดีที่สุดเพื่อที่จะดับไฟให้สำเร็จ

เมื่อดับไฟแล้ว จึงค่อยคิดหาสาเหตุว่า ทำไมจึงเกิดไฟไหม้
เช่น เป็นอุบัติเหตุ หรือมีใครลอบวางเพลิง
มีใครประสงค์ร้ายคิดทำลายทรัพย์สมบัติของเราหรือไม่

เมื่อเกิดอารมณ์ ไม่พอใจ ไม่ต้องคิดหาเหตุว่าใครผิด ใครถูก
ระงับความร้อนใจของตัวเองให้ได้เสียก่อน
หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ เมื่อใจสงบแล้ว
จึงค่อยคิดด้วยสติปัญญา ด้วยเหตุผล

สอนใจตัวเองก่อน

เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ เป็นครู เป็นพ่อแม่
มีลูกน้อง มีลูกศิษย์ มีลูก
สมมติว่าเราเป็นพ่อแม่ มีลูก
เมื่อลูกทำผิดจริงๆ แล้วเราโกรธ ใจร้อน อย่าเพิ่งสอนลูก
สอนใจตัวเองให้ระงับอารมณ์ร้อน ให้ใจเย็น ใจดี
มีเมตตาก่อน จนรู้สึกมั่นใจว่าใจเราพร้อมแล้ว
และดูว่าลูกพร้อมที่จะรับฟังไหม ถ้าเราพร้อม
แต่ลูกยังไม่พร้อม ก็ยังไม่ต้องพูด เพราะไม่เกิดประโยชน์

เราพร้อมที่จะสอน เขาพร้อมที่จะฟัง
จึงจะเกิดประโยชน์ เป็นการสอน

ถ้าเราสังเกตดู บางครั้ง ใจเรารู้สึกเหมือนอยากจะสอน
แต่ความจริงแล้ว เราเพียงอยากระบายอารมณ์ของเรา
สิ่งที่เราพูดแม้เป็นเรื่องจริง แต่ก็แฝงด้วยความโกรธ
เพราะยังเป็นความใจร้อน มีตัณหา

ถ้าใจเราโกรธ พูดเหมือนกัน คำพูดเดียวกัน นั่นคือโกรธ
ถ้าใจเราดี ใจเขาดี คำพูดของเราเป็นประโยชน์ นั่นคือสอน

เมื่อเราอยู่ในสังคม สิ่งที่ต้องระวังคือ หากเห็นใครทำผิด
อย่ายึดมั่นถือมั่นในความรู้สึกและความคิดของตน
อย่ายินดี ยินร้าย ใจเย็นๆ ไว้ก่อน
พยายาม อบรมใจตนเองว่า
ธรรมชาติของคนเรา มักจะมองข้ามความผิดของตนเอง
ชอบจับผิดแต่คนอื่น

..... ดอกไม้ ..... มองเห็นความผิดคนอื่นเหมือนภูเขาใหญ่
เห็นความผิดตนเท่ารูเข็ม
ตดคนอื่นเหม็นเหลือทน
ตดตนเองเหม็นไม่เป็นไร
ปากคนอื่นเหม็นเหลือทน
ปากของตนเหม็นไม่รู้สึกอะไร

เรามักทุ่มเทใจ
ไปอยู่ที่ความรู้สึกนึกคิดของตนเอง
อย่าเชื่อความรู้สึก อย่าเชื่ออารมณ์ อย่ายินดียินร้าย
พยายามรักษาใจเย็น ใจดี ใจกลางๆ
ปกติเราทำผิดเหมือนกัน เท่ากันหรืออาจจะมากกว่าเขา
แต่ความรู้สึกของเรา มักจะรังเกียจเขา
และไม่เห็นความผิดของตัวเองเลย น่ากลัวจริงๆ

สังเกตดู คนที่ขี้บ่น ขี้โมโห ว่าคนอื่นทำอะไรไม่ดี ไม่ถูก
ตัวของเขาเอง คิดดี พูดดี ทำดีไหม….. ก็อาจจะไม่
เราเองก็เหมือนกัน เมื่อเราเกิดอารมณ์ไม่พอใจ
อย่าเชื่อความรู้สึก ให้ระงับอารมณ์เสีย ทำใจเป็นกลางๆ ไว้

อย่าเชื่อความรู้สึก
อย่าเชื่ออารมณ์
อย่ายินดียินร้าย



โทษ ของโกรธ

เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ ก็เพราะโกรธ


วิธีดับโกรธ

- มีเมตตา
ตัวเรารักสุข เกลียดทุกข์ฉันใด
คนอื่น สัตว์อื่นก็รักสุข เกลียดทุกข์ฉันนั้น

เราล้วนเคยเป็นพี่น้องกัน
ที่เราแผ่เมตตา บิดามารดาในอดีตชาติ
ท่านเหล่านั้นในปัจจุบันชาติ อาจเป็น
ยุงที่เรากำลังจะตบ
แมลงสาปที่เรากำลังจะเหยียบ

สถานการณ์บีบคั้น มีเหตุผลดีๆอยู่เบื้องหลัง
- เพื่อลูกเมีย พี่น้อง
- เจตนาเขาอาจจะดีแต่ขัดใจเรา (ใจเรามีกิเลสห่ออยู่ - รักสบาย)
- ผิดพลาดกันได้
- ไม่มีใครดีสุดขั้วชั่วสุดขีด
- ตอนเราผิดพลาดก็ต้องการให้คนให้อภัยเหมือนกัน
- ให้อภัยเป็นทาน
- โกรธเป็นอกุศล
- ให้เราสร้างบารมี
- มารไม่มีบารมีไม่เกิด
- เราฟังไม่ดี ยังไม่ครบถ้วน
- คนอื่นไม่เข้าใจเรา เราก็ไม่เข้าใจคนอื่นเหมือนกัน
- ไม่คุ้มกับ ผลลัพธ์ -> คำสอนของตะปู



ผู้โกรธตอบ ชื่อว่าเลวกว่าผู้โกรธทีแรก
ผู้ไม่โกรธตอบ ชื่อว่าชนะสงครามซึ่งชนะได้แสนยาก
ผู้ที่รู้ว่าคนอื่นเขาโกรธตนแล้ว ประพฤติตนสงบเสงี่ยมอยู่ได้
ชื่อว่าได้ประพฤติเป็นประโยชน์ทั้งฝ่ายตน และฝ่ายผู้อื่น
- พุทธพจน์

No comments:

Post a Comment